การใช้รถอย่างไรให้ปลอดภัยในวันฝนตก
|
1.หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลาหลังฝนตกใหม่ๆ
โดยหันมาใช้การติดต่อกันทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า แทนสะดวกและประหยัดน้ำมัน ทั้งยังช่วยลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดด้วย
|
2.เตรียมเครื่องยนต์ให้พร้อมก่อนเดินทาง หากมีความจำเป็นต้องเดินทางช่วงฝนตก ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์เป็นพิเศษ
เพราะหากรถดับหรือเสีย ขณะการเดินทางจะทำให้เสียเวลาและทำให้การจราจรติดขัดยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ควรได้รับการตรวจเช็คเป็นพิเศษคือ ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ เพราะหากน้ำแห้งแบตเตอรี่จะไม่สามารถทำงาน
|
3.ตรวจเช็คเส้นทางให้พร้อมก่อนเดินทาง
โดย เลือกเส้นทางการจราจรที่ใกล้ที่สุดหรือตรวจสอบเส้นทางได้จากรายการวิทยุ สวพ.91 จส.100 หรือโทร.1197 เพื่อให้ไปถึงจุดหมายโดยใช้ระยะทางที่ใกล้ไม่หลงทาง
ช่วยทำให้ประหยัดน้ำมัน และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียระหว่าง ทาง เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน และควรเตรียมหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียระหว่าง ทาง เช่น สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน 116 |
4.ตรวจเช็คลมยางและสภาพยางอยู่เสมอ โดยตรวจเช็คลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
เพราะหากลมยางต่ำกว่ามาตรฐานจะทำให้การขับขี่สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 2 และหากสภาพยางเสื่อมสภาพจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลงซึ่งอาจส่งผลให้ เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
|
5.ตรวจเช็คผ้าเบรก เพราะช่วงหน้าฝนถนนลื่นกว่าปกติทำให้ต้องแตะเบรกบ่อยครั้ง
โดยผู้ขับขี่ควรสังเกตจากเสียงขณะเบรก หรือเบรกแล้วรถไม่หยุดในระยะปกติซึ่งทำให้เปลืองน้ำมันประมาณวันละ 400 ซีซี ฉะนั้นผู้ขับขี่ควรเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน
|
6.หลีกเลี่ยงการขับด้วย ความเร็ว หากใช้ความเร็วสูงเกิน 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในขณะขับรถจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 10-25 ดังนั้นควรขับรถความเร็วที่ระดับ 80-90 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เพื่อลดอุบัติเหตุและช่วยประหยัดน้ำมัน
|
7.ปรับลดความ เย็นของแอร์รถ
โดยปรับอุณหภูมิแอร์ในรถยนต์ให้ลดลง เพราะหน้าฝนอากาศเย็นอยู่แล้ว และควรปิดแอร์ก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที และเปิดพัดลมแรงสุด ช่วยลดความชื้นและการเกิดเชื้อราในตู้แอร์ นอกจากนี้จะช่วยประหยัดน้ำมันได้30 ซีซี
|